Dancing Rah Rah Smiley

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปนอกห้องเรียน (1st September, 2015)

    การฝึกทักษะการฟัง

                ในปัจจุบัน ปัญหาอาการภาษาอังกฤษบกพร่องของคนไทยขยายวงกว้างกว่าสนามสอบ หรือ สนามแข่งขันในรั้วมหาวิทยาลัย      ในชีวิตการทำงานของคนไทยกับคนต่างชาติ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับว่าตัวเองมีญหาในการสื่อสารกับคนต่างชาติอย่างเนืองนิจ     นักศึกษามหาวิทยาลัยของไทยที่ไปทำงานซัมเมอร์ ในต่างประเทศมักจะร้องทุกข์ว่าตัวเองถูกหลอกไปใช้แรงงานทั้งๆที่จบปริญญตรี หรือ โท แต่ต้องไปทำงานระดับที่ใช้แรงงาน เช่น ล้างจาน ทำความสะอาดหรือซักผ้า       แต่ความจริงก็เป็นเพราะเขาไม่สามารถสื่อสารได้ดีกับลูกค้าต่างชาติในงานบริการตำแหน่งประชาสัมพันธ์ หรือพนักงานต้อนรับในธุรกิจท่องเที่ยวและ โรงเแรมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ถือว่าง่ายแล้ว      นอกจากนี้คนงานไทยในต่างประเทศส่วนมากมักถูกเอาเปรียบแรงงาน และ ต้องทุกข์ทนทรมานอย่างเงียบๆเพราะไม่กล้าไปร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องของประเทศเจ้าภาพเพราะไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เป็นเพราะว่าไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในเชิงต่อรองเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง    และมีคนไทยอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ทำงานกับคนต่างชาติ ไม่ว่าในองค์กรของรัฐและ เอกชน  ซึ่งรวมครูต่างชาติ ในโรงเรียนสองภาษาหรือนานาชาติ ที่ยอมรับว่าความสามารถในการสื่อสารกับคนต่างชาติยังบกพร่องอยู่ และหวังว่าสักวันหนึ่งความสามารถในการสื่อสารของตัวเองจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ไม่รู้จะหาวิธีใดปัญหาที่มีมากที่สุดคือ ปัญหาเรื่องทักษะการฟังรองลงมาคือ การพูดส่วนปัญหาที่คนมักคิดว่ามีน้อยกว่าคือ การเขียนและการอ่านตามลำดับ วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่คนไทยมีปัญหาการฟังมากที่สุดก็เพราะในระบบการศึกษาภาษาอังกฤษของเรามักจะเน้นแต่ไวยากรณ์เป็นหลัก ส่วนการเรียนบทสนทนา (conversation) ก็มีบ้างแต่น้อยกว่า ส่วนการสอนเรื่องการฟังนั้นน้อยมากๆ เพราะสอนยากมากๆ

ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง ครูผู้สอนควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการฟังอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ประสบผลสำเร็จ  สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในทักษะการฟัง มี 5 ประการ คือ
1.ฟังรายการวิทยุที่เป็นภาษาอังกฤษ. โดยอาจจะฟังจากวิทยุโดยตรงหรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชันวิทยุลงในมือถือเพื่อฝึกการฟังจับใจความภาษาอังกฤษ
พยายามฝึกฟังรายการเหล่านี้ให้ได้อย่างน้อยประมาณ 30 นาทีต่อวัน โดยอาจจะฟังระหว่างที่คุณออกกำลังกาย เดินทางไปหรือกลับจากที่ทำงานหรือระหว่างที่คุณนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้
นอกจากนี้ คุณควรจะพยายามเข้าใจสิ่งที่ฟัง ไม่ใช่ฟังผ่าน ๆ แม้อาจจะฟังไม่ทันบ้าง ก็พยายามจับคำหลักหรือวลีหลัก ๆ เพื่อเข้าใจว่ารายการนั้นกำลังพูดถึงอะไรอยู่
หากเป็นไปได้ ให้ลองจดคำหรือวลีที่คุณแปลไม่ได้แล้วลองค้นความหมายในพจนานุกรม แล้วฟังรายการนั้น ๆ อีกครั้งเพื่อสังเกตการใช้คำหรือวลีนั้น ๆ ในบริบท
                2.ฝึกจากการดูหนังหรือรายการทีวีภาษาอังกฤษก็เป็นอีกวิธีที่ทั้งสนุกและช่วยเพิ่มทักษะการฟังได้
เลือกหนังหรือรายการทีวีที่ชอบมาซักเรื่อง ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่เบื่อกับการฝึก หากเป็นไปได้ให้คุณพยายามเลือกหนังหรือรายการที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น การ์ตูนหรือหนังชื่อดัง ถ้าคุณพอรู้เรื่องคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่คุณดูแล้ว คุณจะฟังออกและเข้าใจได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็ไม่ควรจะดูหนังหรือรายการทีวีโดยใช้คำบรรยาย (หรือ Subtitles) ที่เป็นภาษาไทยช่วย คำบรรยายเหล่านี้จะเบนความสนใจคุณ ทำให้คุณไม่ได้สนใจที่จะฟังภาษาอังกฤษให้เข้าใจและจะทำให้การฝึกไม่ได้ผล
                3.หาหนังสือหรือนิตยสารภาษาอังกฤษซักเล่ม. หรือไม่ก็หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษซักฉบับมาอ่าน การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นในการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ เช่นกัน หาสิ่งที่คุณสนใจจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนิยายภาษาอังกฤษชื่อดังซักเล่ม หนังสือพิมพ์ The New York Times หรือนิตยสารแฟชั่นแล้วก็เริ่มฝึกอ่าน หากสิ่งที่คุณอ่านไม่น่าสนใจ โอกาสที่คุณจะหยิบมาฝึกอ่านก็จะน้อยลง และแน่นอนว่า คุณควรพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่คุณกำลังอ่านจริง ๆ ไม่ใช่แค่อ่านผ่าน ๆ แต่ควรขีดเส้นหรือจดบันทึกคำหรือวลีที่คุณไม่เข้าใจแล้วไปค้นความหมายในพจนานุกรมด้วย
ถ้าคุณอยู่คนเดียว คุณอาจจะลองอ่านออกเสียงด้วยก็ได้เพื่อที่จะได้ฝึกทั้งการอ่านทำความเข้าใจและการฝึกออกเสียงไปพร้อม ๆ กัน
                4.เขียนไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษ. นอกจากการอ่านและการฟังแล้ว การเขียนเป็นทักษะอีกอย่างที่ควรฝึกฝน
การเขียนนั้นอาจจะเป็นทักษะทางภาษาที่ค่อนข้างยากแต่ทักษะการเขียนก็จำเป็น การเขียนโดยใช้ภาษาอังกฤษจะช่วยให้คุณได้ไวยากรณ์และการสะกดคำ พยายามเขียนไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษด้วยประโยคสองสามประโยคทุก ๆ วัน ประโยคที่เขียนไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องส่วนตัว คุณอาจจะเขียนเรื่องสภาพอากาศ สิ่งที่คุณเพิ่งกินไปตอนเย็นหรือกระทั่งแผนการของวันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองให้ฝรั่งเช็คสิ่งที่คุณเขียนดูว่ามีจุดผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ เพื่อช่วยให้คุณไม่เขียนผิดซ้ำอีก
                5.หาเพื่อนเป็นฝรั่งซักคนแล้วลองเขียนจดหมายหรืออีเมล์ถึงกันดู ถ้าภาษาอังกฤษคุณพัฒนาขึ้นถึงระดับหนึ่งแล้ว การลองหาเพื่อนคุยทางจดหมายก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการพัฒนาต่อไป
การมีเพื่อนทางจดหมายนอกจากจะได้ฝึกภาษาอังกฤษแล้ว ยังสร้างความตื่นเต้นที่จะได้รับจดหมายหรืออีเมลฉบับถัดไปด้วย เพื่อนของคุณอาจจะเป็นคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันหรือจะเป็นฝรั่งที่สนใจจะฝึกเขียนภาษาไทยก็ได้เช่นกัน หากเพื่อนเป็นคนที่มาจากประเทศอย่าง อเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ไอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์หรือแอฟริกาใต้ คุณอาจจะได้เรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมเพิ่มเติมอีกด้วย
                สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก นั่นก็เพราะมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ
1. ไม่ค่อยจะรู้ศัพท์ วิธีจำศัพท์ ให้เปลี่ยนมาเป็นการท่องศัพท์เป็นกลุ่มคำแทน เพื่อให้ใช้เป็นทันทีมาดูตัวอย่างกันดีกว่า เช่นคำว่า easy (adj) แปลว่าง่ายแทนที่จะจำเป็นคำ ให้จำเป็นกลุ่มคำแทน เช่น easy problemหรือจำเป็นประโยค เช่น English is easyการจำแบบนี้ได้ประโยชน์ คือ รู้ทันทีว่า easy ทำหน้าที่เป็น adj  หรือส่วนขยายที่วางไว้หน้าคำนาม หรือหลัง verb to be เวลาใช้งานจริง เราก็จะดึงออกมาพูดได้ตรงตามหน้าที่ของคำเลย
negotiation (n) ที่แปลว่า การเจรจาให้จำเป็นกลุ่มคำแทน เช่น business negotiation ตัวอย่างประโยค เข่น I think that it is an easy negotiation. เราเอาคำศัพท์ที่เราเคยท่องมาประยุกต์ด้วย
การหาตัวอย่างกลุ่มคำ ที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่ใช้แบบถูกต้องให้ดูจาก dictionary ที่เป็น eng-eng  ขอแนะนำ application “Wordweb” ที่มีท้ัง android และ ios ข้อดีของการเปิด dictionary eng-eng คือ
จะทำให้เห็นตัวอย่างการใช้ประโยค ที่ใช้กันจริงๆถึงแม้ว่า ระยะแรกๆ จะใช้เวลาหน่อย สำหรับคนที่ยังไม่คล่อง
แต่เชื่อเถอะค่ะ เมื่อเพื่อนๆ มีศัพท์สะสมกันมากพอ การเปิด dic eng-eng จะทำให้การใช้ภาษาอังกฤษ
ถูกต้อง และดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ
2. ไม่ได้หัดฟังภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษจริงๆ จะมีท่วงทำนองคล้ายๆ ดนตรีเพลง คือมีโทนเสียงที่ไม่ราบเรียบตลอด
มีการเน้นคำ มีการเบาคำ มีการรวบคำดังนั้นวิธีที่จะทำให้ฟังภาษาอังกฤษได้คล่อง ก็คือ หัดฟังภาษาอังกฤษ จากเจ้าของภาษา ต้องฝึกฟังทุกวันค่ะ อาจจะฟังจาก YouTube ก็ได้ในเบื้องต้นอย่ารีบร้อนมาก ให้คิดซะว่า ฟังผ่านหูให้ได้มากที่สุดก่อน อย่าไปซีเรียสว่าจะต้องเข้าใจทันที เพราะอย่าลืมว่า กว่าจะเก่งได้ต้อง 1000 ชั่วโมงขึ้นไป แม้แต่เด็กๆ เอง เค้าก็ต้องฟังพ่อแม่ คนรอบตัวพูดเป็นปีๆ ดังนั้นไม่ต้องรีบ เริ่มฟังจากสิ่งที่ง่ายๆ ไม่ยากเกินไปอย่าเริ่มจากสื่อยากๆ เช่น หนัง หรือ ข่าว เพราะจะทำให้ท้อ และล้มเลิกไปก่อนจะครบ 1000 ชั่วโมง เริ่มจากหาคลิปที่ตัวเองสนใจหัวข้อ หมวดหมู่ที่ชอบ แล้วค่อยๆ หัดฟังไปทุกวัน ยิ่งถ้ามี transcript หรือ sub title ก็จะช่วยได้มาก เพราะเบื้องต้น เราจะได้ชินกับการออกเสียง ของภาษาอังกฤษให้ลองฟัง แล้วอ่านตาม เพื่อให้ชินกับสำเนียง ภาษา ทำนอง จังหวะ ของภาษาอังกฤษคะ
หัดจับใจความ หรือประเด็นหลักๆ ของคลิป ไม่จำเป็นต้องฟังออก 100% ก็ได้ แต่ต้องรู้ว่า เค้าต้องการสื่ออะไร ข้อดีของการฝึกฟังเอง ก็คือ คุณสามารถฟังซ้ำๆ ได้จนกว่าจะชิน และเข้าใจ หลังจากนั้นลองหลับตาตั้งใจฟัง เพราะการหลับตาจะได้ทำให้มีสมาธิมากขึ้น เหมือนกับคนตาบอดที่ หูเค้าจะดีมาก
การฟังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะแค่ 1 นาที 5 นาที หรือเป็นชั่วโมง การฝึกที่ดีที่สุดคือการฟังข่าวภาษาอังกฤษ ช่องทางการฟังมีหลากหลายมาก เช่น ดูข่าวผ่านทีวี CNN, BBC หรือช่องอื่นๆ หรือ ฟังข่าวออนไลน์ผ่านมือถือ ซึ่งหาดาวน์โหลด Application เหล่านี้ได้ง่ายมาก ประเด็นคือฟังไม่รู้เรื่อง มันมืดไปหมด แล้วอย่างนี้จะเรียนรู้ได้อย่างไร อย่าเพิ่งถอดใจครับเพราะเป็นเรื่องธรรมดาหากฟังไม่เข้าใจ เพราะแม้กระทั้งคนที่ระดับภาษาอังกฤษค่อยข้างดีแล้วบางทีเขายังฟังข่าวไม่ค่อยรู้เรื่องก็มี สิ่งที่จะแนะนำคือพยายามฟังบ่อยๆ หากมีเวลาพยายามตั้งใจฟังและพยายามจับให้ได้ว่าเขากำลังรายงานข่าวเรื่องอะไรอยู่ พยายามแยกแยะคำศัพท์แต่ละคำออกจากกันให้ได้ถึงแม่จะไม่รู้ความหมายของคำนั้นๆก็ตาม เพราะถ้าเราฟังเฉยๆลอยๆจะเหมือนกับเวลาฝรั่งอ่านหนังสือภาษาไทยที่ไม่รู้ว่าแต่ละคำจบตรงไหนเพราะเขียนติดกันเป็นพืดไปหมด ดังนั้นช่วงเริ่มฟังใหม่ๆไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายหรือรู้เรื่องทั้งหมด แค่พยายามจับคำของนักข่าวให้ได้ก็พอ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆอย่าเพิ่งท้อเพราะการฟังบ่อยก็ช่วยให้เราคุ้นชินกับสำเนียง ท่วงทำนอง ระดับสูงต่ำ ของภาษาได้ไปในตัว ฟังไปนานๆมันจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราเองและไม่ช้าเราจะจับคำพูดที่เราฟังได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอีกต่อไป ดังนั้นว่างๆหากมีสมาร์ทโฟนให้เข้าไปดาวโหลด Podcast ข่าวของ CNN หรือ BBC มาไว้ในมือถือ ขึ้นบีทีเอสหรือรอรถเมย์เมื่อไหร่ก็หยิบออกมาฟังเพลินๆ หรือเข้าไปที่ Leaning English ของ Voice of America จาก http://learningenglish.voanews.com ในนี้จะรวบรวมข่าวพร้อมคลิปเสียงการบรรยายข่าวนั้นๆโดยเขาทำไว้เพื่อให้คนฝึกฟังภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ ดังนั้นการรายงานข่าวจึงไม่เร็วเกินไปและชัดถ้อยชัดคำมาก
ต่อมาคือการฝึกฟังจากการดูหนัง หรือซีรี่ฝรั่ง คำแนะนำคือห้ามมี Subtitle หรือถ้าต้องมีจริงๆต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ห้ามเป็นภาษาไทยโดยเด็ดขาด เพราะคุณจะไม่ได้อะไรเลยจากการดูหนังในครั้งนั้น การดูหนังหรือซีรี่ภาษาอังกฤษจะดีตรงที่ภาษาจะเป็นภาษาพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป แนะนำอย่าเลือกหนังที่เป็นหนังประวัติศาสตร์ย้อนยุค เพราะเราจะไม่เข้าใจภาษา ถ้าเลือกได้แนะนำหนังการ์ตูนของ Walt Disney ดูน่ารักเพลินๆและภาษาเข้าใจง่าย ส่วนซี่รี่ก็เลือกดูที่เราถนัด การฟังอีกอย่างคือการฟังเพลง เชื่อว่าทุกคนฟังเพลงสากล แต่มีกี่คนที่รู้ว่าเพลงที่ฟังอยู่สื่อถึงอะไร หรือเนื้อเพลงแปลว่าอะไร หากฟังแบบนั้นจะเป็นแค่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน การฟังที่ได้เรียนรู้ไปด้วยแนะนำให้เปิดหาความหมายของเนื้อร้องประกอบไปด้วย อาจจะฝึกแปลเองหรือเข้าไปหาดูบทแปลจากอินเตอร์เน็ท แต่ระวังนิดนึงเพราะบางเว็ปที่แปลเพลงสากลอาจแปลได้ไม่ค่อยตรงความหมายของเพลง หรือความหมายไม่ได้ตามอารมณ์ที่ควรจะเป็นของเพลงนั้นๆ ข้อดีของการฟังเพลงคือเพลง 1 เพลงปกติเราไม่ฟังแค่รอบเดียวแล้วเลิกฟัง เรามักจะฟังซ้ำๆทุกวันจึงทำให้เกิดการคุ้นหูและเคยชินกับประโยคในเพลง หากเรารู้ความหมายจะเป็นการดีที่เราได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และตัวอย่างการใช้ไปในตัว เวลาจำไปใช้ก็เอาไปทั้งประโยคได้เลย
                ดังนั้นเราจึงควรหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นประจำ. จะช่วยให้คุณใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วได้ในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะเมื่อคุณฝึกทุกวันการเรียนภาษาให้ได้ผลนั้นขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาบ่อย ๆ หากคุณไม่ได้ทบทวนนาน ๆ คุณจะลืมสิ่งที่คุณเรียนไปเมื่อครั้งก่อน ๆ แล้วต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการเสียเวลาทั้งนี้ คุณก็ควรจะเปลี่ยนวิธีการทบทวนภาษาอังกฤษบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อเสียก่อน อย่างเช่นจัดเวลาในการทบทวนในแต่ละวันด้วยวิธีต่าง ๆ โดยวันแรกอาจจะทบทวนโดยการอ่าน วันถัดมาเป็นการฟัง วันที่สามเป็นการฝึกเขียนและวันที่สี่ทบทวนไวยากรณ์ เป็นต้น
แต่คุณก็ไม่ควรลืมเรื่องการพูดด้วยเพราะการพูดเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดของภาษา ดังนั้น คุณควรฝึกพูดทุกครั้งที่มีโอกาส
ฝึกให้ตัวเองคิดเป็นภาษาอังกฤษ. จะช่วยให้คุณใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การต้องแปลภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษและแปลกลับจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้คุณเหนื่อยและเสียเวลา ทุกภาษามีลักษณะเฉพาะเสมอ ซึ่งทำให้การแปลแบบตรงตัวนั้นไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ทางออกก็คือการคิดเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้นซึ่งจะทำให้คุณพูดและเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยคิดเป็นภาษาอังกฤษทุกครั้งที่คุณต้องใช้ภาษาอังกฤษ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น