Dancing Rah Rah Smiley

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การแปลในภาษาไทย

การแปลในภาษาไทย
เริ่มมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งโกษาปานไปเฝ้าพระเจ้าหลุยประเทศฝรั่งเศส มีการแปลเอกสารต่างๆในการติดต่อค้าขายต่างชาติในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการสอนภาษาอังกฤษในราชสำนัก ทำให้มีกาติดต่อและเดินทางถึงกันได้สะดวกรวดเร็ว การแปลจะช่วยลดความไม่เข้าใจกันเนื่องจากมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันสร้างความเข้าใจระหว่างนานาชาติ ทำให้สันติภาพในโลก มีการท่องเที่ยวที่นำเงินรายได้ให้กับประเทศ ทำให้การแปลภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การแปลจะต้องมีความรู้ด้านภาษาแล้วยังต้องเข้าใจวัฒนธรรม

การแปลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้แปลจะต้องเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมีนักภาษาด้วยเพื่อป้องกันการใช้ภาษาวิบัติ
การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย
เป็นการสอนไวยากรณ์และโคร้างสร้างของภาษา การใช้ภาษา รวมทั้งการอ่านเพื่อนความเข้าใจ ผู้ที่จะแปลได้ควรจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางภาษาอย่างดี
การแปลคืออะไร
การแปลคือการถ่ายทอดความคิดจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง  โดยให้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามต้นฉบับทุกประการไม่มีการตัดต่อ ควรรักษาให้ได้รูปแบบตรงตามต้นฉบับเดิมอีกด้วยถ้าหากทำได้
ความหมายของการแปล
1การแปลเป็นกระบวนการที่กระทำต่อภาษา
2การแปลเป็นทักษะพิเศษเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
3ผู้แปลจะต้องถ่ายทอดความคิดจากต้นฉบับออกมาเป็นภาษีต้องการได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
คุณสมบัติผู้แปล
1 เป็นผู้รู้ภาษาอย่างดีเลิศ
2 สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจ
3 เป็นผู้ที่มีศิลปะในการใช้ภาษา มีความเข้าใจและซาบซึ้งในความสวยงามของภาษา
4 เป็นผู้ที่เรียนภาษาและวรรณคดีหรือภาษาศาสตร์
5 ผู้แปลจะต้องเป็นผู้รอบรู้ รักเรียน รักอ่าน และรักการค้นคว้าวิจัย 
6 ผู้แปลต้องมีความอดทน และเสียสละ
            จุดมุ่งหมายของผู้แปล
1 รู้ซึ่งในเรื่องภาษา มีความรู้พื้นฐานด้านภาษาอย่างดี
2 รักการอ่าน การค้นคว้า
3 มีความอดทน มีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข
4 มีความรับผิดชอบ รู้จักใช้ความคิดของตนเอง
                นักแปลที่มีคุณภาพ คือนักแปลที่มีความสามารถถ่ายทอดความคิดของต้นฉบับได้อย่างครบถ้วน นักแปลจะต้องมีความรู้ภาษาของต้นฉบับและภาษาที่ใช้แปล

วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
1 ฝึกเพื่อผลิตนักแปลที่มีคุณภาพให้ออกไปรับใช้สังคมในด้านต่างๆ
2 การสอนแปลให้ได้ผล
3 ผู้สอนแปลต้องหาทางเร่งเร้าให้ผู้เรียนได้อ่านอย่างกว้างขว้าง
4 ผู้เรียนแปลได้และพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักแปลอาชีพ
สรุป การแปลที่ดีต้องถ่ายทอดความหมายของต้นฉบับได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์
หลักสำคัญในการแปล
1 ผู้แปลจะต้องเข้าใจเนื้อหาที่จะแปลและความตั้งใจของผู้เขียนต้นฉบับ
2 ผู้แปลจะต้องมีความรู้ภาษาทั้งสองอย่างดี
3 ผู้แปลควรจะเลี่ยงการแปลคำต่อคำ จะทำให้ความหมายของต้นฉบับผิดไป
4 ผู้แปลควรจะใช้ภาษาปัจจุบันในการแปล
5 ผู้แปลควรจะใช้ระดับของภาษาที่ตรงกันกับต้นฉบับ
การแปลที่ดีจะต้องมีหลัก 3ประการ คือ
1 เป็นการแปลที่ตรงกับต้นฉบับทุกประการ
2 ใช้ภาษาที่ตรงกับต้นฉบับ และเข้าใจความคิดและพฤติกรรมของผู้เขียนต้นฉบับ
3 ในการแปลต้องเป็นธรรมชาติและดูง่าย
คุณสมบัติของการแปล
1 คุณสมบัติส่วนตัว คือ มีใจรักการแปล รักการอ่าน มีความสามารถในการอ่าน มีความตั้งใจและมั่นใจสูง มีความละเอียดรอบคอบ มีจรรยาบรรณของนักแปล มีความรู้ เฉลียวฉลาด มีจิตใจกว้างขวางและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
2 ความรู้ คือต้องมีความรู้ในภาษาทั้งสองอย่างดี มีความรู้อย่างกว้างขว้าง รักการหาความรู้และประสบการใหม่ๆ มีความรู้เฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับงานที่แปล ความรู้ภูมิหลังของวัฒนธรรมประเพณีของชาติที่เป็นเจ้าของภาษา
3 ความสามารถคือสามารถตีความภาษาต้นฉบับได้อย่างดี มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ มีความสามารถในการส่งสาร มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการและมีความสามารถในการแบ่งขั้นตอนการแปล
4 ประสบการณ์คือ การฝึกฝนแปลอยู่เสมอ มีความรู้ในงานหลายสาขา มีความเข้าใจในระบบงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแปล หาความรู้และเข้ารับการอบรมทางด้านการแปลและรักการอ่านการแปลของคนอื่น

ลักษณะของงานที่ดี
ลักษณะงานแปลที่ดี คือ ควรจะมีเนื้อหาข้อเท็จจริงตรงตามต้นฉบับการใช้ภาษาที่ชัดเจนกระชับความ ใช้รูปประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาเปรียบเทียบได้เหมาะสมและรักษาแบบหรือสไตน์การเขียนของผู้แต่งงานต้นฉบับไว้
ลักษณะงานแปลอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ดี
1 ภาษาไทยที่ใช้ในงานแปลนั้นมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ปรับให้เป็นสำนวนไทยตามที่ใช้กันโดยทั่วไป
2 สามารถนำต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเทียบเคียงกับภาษาไทยได้
3 ใช้การแปลแบบตีความ แปลแบบเก็บเรียบเรียงและเขียนใหม่


ลักษณะของงานแปลที่ดี
จะต้องมีความตรงกันในด้านความของงานต้นฉบับและงานออกแบบและมีความสละสลวยในภาษาที่ใช้แปล ลักษณะงานแปลที่ดี
1 ความหมายถูกต้องและครบถ้วนตามต้นฉบับ
2 รูปแบบของภาษาที่ใช้ในฉบับแปลตรงกันกับต้นฉบับ
3 สำนวนภาษาที่ใช้สละสลวยตามระดับของภาษา
การแปลอังกฤษเป็นไทยต้องคำนึงถึงประการดังนี้
1 อนาคต (The Progressive Present) การแปลที่ต้องเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันกาล (Simple Present) และอนาคตกาล (Progressive Present) การกะทำในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน (now) การให้ปัจจุบันกาลโดยมีคำว่าalwaysหรือ oftenตัวอย่างเช่น
1 I promise you (now)
2 I am having eye trouble these days.(often , repeatedly)
3 he is learning french (every day)
4 How do you like Hyderabad! ( a verb signifying a state of mind
2 โครงสร้างประโยค อื่นๆ ในการแปลแบบของกาลในภาษาอังกฤษ รวมทั้งโครงสร้างของไวยากรณ์ มีบางอย่างที่ยากเช่น การใช้กริยาวิเศษณ์ และคุณศัพท์ในประโยคปฎิเสธ จะแปลได้ในระดับประโยคไม่แปลระดับคำและแปลตามความหมายของคำศัพท์
3 ศัพท์เฉพาะ (Lexis) การแปลความหมายตามศัพท์จะดูง่าย
4 ตีความทำนาย คือการแปลข้ามภาษาจะต้องคำนึงถึงความหมายโดยทั่วไป มากกว่าการใช้คำเหมือนหรือให้ความหมายเหมือนกับรูปประโยคที่ต่างกันในภาษาเดียวกัน

การวิเคราะห์ความหมาย
องค์ประกอบของความหมาย
1 คำศัพท์ คือคำที่ตกลงยอมรับกันของผู้ใช้ภาษาซึ่งจะมีคำศัพท์จำนวนมากในการสื่อความหมาย
2 ไวยากรณ์ คือแบบแผนการจัดเรียงคำในภาษา เพื่อใช้เป็นประโยคที่มีความหมาย
3 เสียง หากนำเสียงพยัญชนะ มารวมกันเข้าอย่างมีระบบระเบียบ จะทำให้เกิดเป็นหน่วยที่มีความหมาย
ความหมายและรูปแบบ
1 ในแต่ละภาษา ความหมายหนึ่งอาจจะแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่นในรูปประโยคที่ต่างกันหรือใช้คำที่ต่างกัน
1 The boy bit the boy.
   The boy was bitten by the dog.
2 รูปแบบเดียวอาจจะมีหลายความหมาย ความหมายของรูปแบบแต่ละรูปแบบนั้นไม่แน่นอนตายตัวเสมอไป เช่น
Lincoln tunnel is under water.
มี 2 ความหมาย คือ
1 Lincoln tunnel is flooded.
2 Lincoln tunnel is built under the water.
ประเภทของความหมาย
1 ความหมายอ้างอิง (referential meaning) คือความหมายที่กล่าวอ้างโดยตรงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
2 ความหมายแปล (Connotative meaning) คือความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้ฟัง ผู้อ่าน อาจจะมีความหมายในทางบวกหรือทางลบก็ได้ขี้นอยู่กับวัฒนธรรมของภาษาและภูมิหลังของบุคคล
3 ความหมายตามปริบท ต้องพิจารณาจากปริบทที่แวดล้อมคำนั้นทั้งหมด จึงจะรู้ความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
4 ความหมายเชิงอุปมา (Figurative meaning) เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบทั้งการเปรียบเทียบโดยเปิดเผย โดยแบ่งองค์ประกอบของการเปรียบเทียบ ออกเป็น 3ส่วน คือ สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ (topic) สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ (illustration) ประเด็นของการเปรียบเทียบ (point of similarity)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น