สรุปนอกห้องเรียน
ปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษ
เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ย่อมทำให้ได้เปรียบคนอื่นๆ หลายคนอาจหงุดหงิดกับระดับภาษาอังกฤษของตัวเอง
เรียนมาตั้งแต่อนุบาลแต่ทำไมยังพูดไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่องสัก
บางคนอาจสมัครเข้าเรียนในสถาบันสอนภาษาหรือแม้กระทั่งจ้างครูมาสอนเป็นการส่วนตัว
แต่นั่นช่วยให้คนเหล่านั้นใช้ภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นหรือไม่ หากหยุดการเรียนจากห้องเรียนจะเกิดอะไรขึ้น
หนทางที่ดีที่สุดของการเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สามใดๆก็ตามคือการไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการใช้ภาษานั้นๆแบบ
Full-time หรือพูดง่ายๆคือไปอยู่ต่างประเทศนั่นเอง
แต่จะมีสักกี่คนที่ทำแบบนั้นได้หากไม่รวยจริง หรือไม่มีงานหรือหน้าที่อย่างอื่นที่ต้องรับผิดชอบในประเทศไทย
อีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดี ประหยัด
และเรียนรู้ได้ตลอดเวลาคือการฝึกฝนด้วยตัวเองตามสื่อและช่องทางต่างๆ
ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในโลกไร้พรมแดนในปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็แล้วแต่มีเพียง
4 ทักษะหลักๆที่เราจะต้องเรียนรู้ คือ ฟัง พูด
อ่าน และเขียน ก่อนทำการศึกษาเราควรรู้ระดับของตัวเองก่อนว่าภาษาเราแย่มาก แย่
ใช้ได้ ดี หรือ ดีมากแค่ไหน
วิธีทดสอบไม่ต้องไปหาแบบทดสอบมาทำให้ยุ่งยากเพราะเรารู้ตัวเราเองอยู่แล้วว่าเราอยู่ระดับไหน
เสร็จแล้วตั้งเป้าหมายหรือหาจุดมุ่งหมายของการเรียนว่าเราจะพัฒนาทักษะด้านใดดี
ขั้นตอนต่อไปก็เพียงแค่เริ่มลงมือ โดยขั้นแรก เริ่มจากการฟัง
การฟังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่ว่าจะแค่ 1 นาที 5 นาที หรือเป็นชั่วโมง
การฝึกที่ดีที่สุดคือการฟังข่าวภาษาอังกฤษ ช่องทางการฟังมีหลากหลายมาก เช่น ดูข่าวผ่านทีวี
CNN, BBC หรือช่องอื่นๆ หรือ ฟังข่าวออนไลน์ผ่านมือถือ
ซึ่งหาดาวน์โหลด Application เหล่านี้ได้ง่ายมาก
ประเด็นคือฟังไม่รู้เรื่อง มันมืดไปหมด แล้วอย่างนี้จะเรียนรู้ได้อย่างไร
อย่าเพิ่งถอดใจครับเพราะเป็นเรื่องธรรมดาหากฟังไม่เข้าใจ เพราะแม้กระทั้งคนที่ระดับภาษาอังกฤษค่อยข้างดีแล้วบางทีเขายังฟังข่าวไม่ค่อยรู้เรื่องก็มี
สิ่งที่จะแนะนำคือพยายามฟังบ่อยๆ
หากมีเวลาพยายามตั้งใจฟังและพยายามจับให้ได้ว่าเขากำลังรายงานข่าวเรื่องอะไรอยู่
พยายามแยกแยะคำศัพท์แต่ละคำออกจากกันให้ได้ถึงแม่จะไม่รู้ความหมายของคำนั้นๆก็ตาม
เพราะถ้าเราฟังเฉยๆลอยๆจะเหมือนกับเวลาฝรั่งอ่านหนังสือภาษาไทยที่ไม่รู้ว่าแต่ละคำจบตรงไหนเพราะเขียนติดกันเป็นพืดไปหมด
ดังนั้นช่วงเริ่มฟังใหม่ๆไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายหรือรู้เรื่องทั้งหมด
แค่พยายามจับคำของนักข่าวให้ได้ก็พอ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆอย่าเพิ่งท้อเพราะการฟังบ่อยก็ช่วยให้เราคุ้นชินกับสำเนียง
ท่วงทำนอง ระดับสูงต่ำ ของภาษาได้ไปในตัว
ฟังไปนานๆมันจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราเองและไม่ช้าเราจะจับคำพูดที่เราฟังได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอีกต่อไป
ดังนั้นว่างๆหากมีสมาร์ทโฟนให้เข้าไปดาวโหลด Podcast ข่าวของ
CNN หรือ BBC มาไว้ในมือถือ
ขึ้นบีทีเอสหรือรอรถเมย์เมื่อไหร่ก็หยิบออกมาฟังเพลินๆ หรือเข้าไปที่ Leaning
English ของ Voice of America จาก
http://learningenglish.voanews.com ในนี้จะรวบรวมข่าวพร้อมคลิปเสียงการบรรยายข่าวนั้นๆโดยเขาทำไว้เพื่อให้คนฝึกฟังภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ
ดังนั้นการรายงานข่าวจึงไม่เร็วเกินไปและชัดถ้อยชัดคำมาก ต่อมาคือการฝึกฟังจากการดูหนัง
หรือซีรี่ฝรั่ง คำแนะนำคือห้ามมี Subtitle หรือถ้าต้องมีจริงๆต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
ห้ามเป็นภาษาไทยโดยเด็ดขาด เพราะคุณจะไม่ได้อะไรเลยจากการดูหนังในครั้งนั้น
การดูหนังหรือซีรี่ภาษาอังกฤษจะดีตรงที่ภาษาจะเป็นภาษาพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป
แนะนำอย่าเลือกหนังที่เป็นหนังประวัติศาสตร์ย้อนยุค เพราะเราจะไม่เข้าใจภาษา
ถ้าเลือกได้แนะนำหนังการ์ตูนของ Walt Disney ดูน่ารักเพลินๆและภาษาเข้าใจง่าย
ส่วนซี่รี่ก็เลือกดูที่เราถนัด
การฟังอีกอย่างคือการฟังเพลง
เชื่อว่าทุกคนฟังเพลงสากล แต่มีกี่คนที่รู้ว่าเพลงที่ฟังอยู่สื่อถึงอะไร
หรือเนื้อเพลงแปลว่าอะไร หากฟังแบบนั้นจะเป็นแค่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน
การฟังที่ได้เรียนรู้ไปด้วยแนะนำให้เปิดหาความหมายของเนื้อร้องประกอบไปด้วย
อาจจะฝึกแปลเองหรือเข้าไปหาดูบทแปลจากอินเตอร์เน็ท
แต่ระวังนิดนึงเพราะบางเว็ปที่แปลเพลงสากลอาจแปลได้ไม่ค่อยตรงความหมายของเพลง
หรือความหมายไม่ได้ตามอารมณ์ที่ควรจะเป็นของเพลงนั้นๆ ข้อดีของการฟังเพลงคือเพลง 1
เพลงปกติเราไม่ฟังแค่รอบเดียวแล้วเลิกฟัง เรามักจะฟังซ้ำๆทุกวันจึงทำให้เกิดการคุ้นหูและเคยชินกับประโยคในเพลง
หากเรารู้ความหมายจะเป็นการดีที่เราได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และตัวอย่างการใช้ไปในตัว
เวลาจำไปใช้ก็เอาไปทั้งประโยคได้เลย เมื่อเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับฟังแล้ว
หลักการต่อไปคือการอ่าน
การอ่านน้อยได้น้อย อ่านมากได้มาก
อันนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของตัวบุคคลจริงๆ ทุกครั้งที่เราอ่านเราจะได้อะไรเสมอ
สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษไหนๆก็จะเริ่มอ่านแล้วควรอ่านให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
แนะนำให้อ่านข่าวภาษาอังกฤษ บทความ หรือนิตยสารภาษาอังกฤษ
การอ่านจะต่างจากการฟังตรงที่เวลาอ่านพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังอ่าน
หากเจอคำศัพท์แปลกที่เราไม่รู้ความหมายให้เปิดพจนานุกรมและเขียนกำกับไว้เลย
(แนะนำให้เขียนลงในเนื้อหาที่เราอ่านเลย)
หากเป็นไปได้ควรอ่านทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งหัวข้อข่าวหรือหนึ่งบทความ
เจอคำที่ไม่รู้ให้เปิดพจนานุกรมและเขียนไว้ถึงแม้จะเป็นคำเดิมที่เราเคยเจอและเคยเปิดมาแล้ว
เพราะถ้าเปิดอีกรอบนั่นหมายความว่าเรายังจำไม่ได้
หากอ่านทุกวันเราจะเห็นว่าเราจะเจอคำศัพท์เดิมๆบ่อยครั้ง
ในที่สุดเราจะจำคำนั้นๆได้โดยอัตโนมัติ
แต่การอ่านไม่จำเป็นต้องเปิดแบบละเอียดทุกคำเพราะมันจะทำให้เราเกิดอาการหงุดหงิดท้อละเลิกอ่านไปในที่สุด
บางทีเราสามารถเดาความหมายจากบริบทได้ อันนี้อาจต้องฝึกบ่อยๆนะครับ การเรียนรู้ภาษาที่สามจะต้องมาควบคู่กับความขยันและอดทน
หากขาดสิ่งนี้การเรียนรู้แทบจะไม่ได้ผลเลย ยังไงก็พยายามกันนะครับ
ภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือน่ากลัว แต่หากเราไม่รู้แล้วเกิดจำเป็นต้องใช้ในวันข้างหน้าความน่ากลัวจะมาเยือน
หลักการ 5
ข้อในการอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง 1.
เลือกอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่านจริงๆเท่านั้น เพราะจะเป็นแรงบันดาลใจให้อ่านได้ต่อเนื่อง
จนเกิดนิสัยรักการอ่านในอนาคต ถ้าเราไปเลือกผิด จับหนังสือที่ไม่สนุก หรือใช้ภาษาที่ซับซ้อนเกินไป
ถึงอ่านไปก็ไม่เข้าใจ พาลชวนให้ล้มเลิกความพยายามเสียเปล่าๆ
ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนนะว่าเราชอบหนังสือภาษาอังกฤษแนวไหนกันแน่? อาจเป็นการ์ตูนฝรั่ง
นิตยสารแฟชั่น หรือแม้แต่นิยายภาษาอังกฤษก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ทั้งนั้น
2. ถ้ารู้สึกเบื่อหรือหนังสือยากเกินไป
ให้หยุดอ่านแล้วเปลี่ยนเล่มใหม่ทันที แนะนำให้หาเล่มที่อ่านง่ายก่อน
เพราะดูเหมือนเราจะยังไม่พร้อมที่จะอ่านเล่มยากๆตอนนี้ ถ้าไม่มีสมาธิ
อ่านไปเรื่อยๆยังไงก็ไม่ซึมซับครับ สู้อ่านเรื่องที่เราชอบ หรือถนัดดีกว่า
พอมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังสือภาษาอังกฤษแล้วมันก็จะทำให้เราอ่านได้นานๆจนลืมเวลาไปเลยล่ะ
3. ฝึกเดาความหมายศัพท์ที่ไม่รู้ โดยพิจารณาจากศัพท์หรือประโยคข้างเคียง
ถ้าเดาไม่ออกก็ให้อ่านข้ามไปได้
อย่าไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดอย่างครบถ้วน
เพราะการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อฝึกภาษาอังกฤษนั้นเน้นทำความเข้าใจเนื้อเรื่องโดยรวม
และการเห็นคำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ซ้ำๆ บ่อยๆก็จะจำและตีความได้เอง
4. เปิดพจนานุกรมขณะอ่านให้น้อยที่สุด มีงานวิจัยด้านภาษาได้ระบุไว้ว่า
นักอ่านที่หยุดอ่านเป็นระยะๆ (slow reader) จะมีกระบวนการเรียนรู้ภาษาช้ากว่าคนที่ฝึกอ่านเร็วๆ
(speed reader) ในช่วงแรกอาจต้องพึ่งพาดิกชันนารี่
แต่พอผ่านไปถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องพึ่งพาตัวเองแล้วล่ะครับ
จะได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สุดท้ายแล้วมีความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ในหัวก็ยังดีกว่าต้องมาคอยเปิดดิกชันนารี่หาความหมายทุกคำอยู่ดี
5. อ่านหลายๆรอบ ยิ่งอ่านซ้ำหลายๆรอบ
จะช่วยทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มความสามารถภาษาอังกฤษได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ
อ่านไปเถอะครับ ไม่ต้องไปนับว่ากี่ครั้ง จะเป็นสิบ
หรือเป็นร้อยรอบแต่ถ้ามันทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษ อ่านข่าวภาษาอังกฤษรู้เรื่อง
ก็คุ้มค่าแล้วจริงมั้ย
สิ่งสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี
คือเริ่มจากตัวเราเอง มีความขยัน พยายามทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณให้ได้
เช่น เขียนรายการช้อปปิ้ง ฟังวิทยุ เขียนบันทึกไดอารี่
หรือฟังเทปภาษาอังกฤษระหว่างการเดินทางไปทำงานถึงแม้ว่าคุณไม่ได้อยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง
แต่คุณอาจพบเห็นคนต่างชาติอาศัยในเมืองที่คุณอยู่
เพิ่มโอกาสที่จะพบปะและพูดคุยกับพวกเขาเหล่านั้นเพื่อฝึกภาษาด้วยการเข้าร้านอาหารหรือบาร์ที่คนต่างชาติชอบไป
สมัครเป็นสมาชิกในชมรมกีฬาหรือสมาคมต่างๆ หรือจัดหาการแลกเปลี่ยนภาษา เป็นต้น คุณไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือเรียนภาษาอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้นในการใช้ประกอบการเรียน
ทุกอย่างไม่ว่าจะแมกกาซีน นิยาย
หรือหนังสือประเภทไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้นขอแค่ให้เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าหาไม่ได้ก็ลองเปิดดูตามอินเตอร์เน็ต คุณควรลองใช้ Englishtown Magazine ดูสิ
ถ้าต้องการหัวข้อเรื่องง่ายๆ
มาใช้ประกอบการเรียนอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือล้ำค่าที่จะพาคุณไปพบปะกับคนทั่วโลก
เข้าร่วมใน chat rooms สมัครเรียนออนไลน์ หรือหาเพื่อนทางอีเมล์
เพื่อฝึกภาษาอังกฤษของคุณไปพร้อมๆ กับเรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติหลากหลาย ลองแวะชม Englishtown.com
เพื่อหาไอเดียใหม่ๆ มาใช้ประโยชน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น