สรุปในห้องเรียน
สิ่งสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ ไวยากรณ์พื้นฐาน
เพราะตัวพื้นฐานดังกล่าวถ้าเปรียบดังตึกคือชั้นล่าง ถ้าพื้นฐานแน่นแล้ว
การเรียนเรื่อง tense ก็จะง่ายมากๆต้องพึงระลึกว่า
โครงสร้างทางภาษาบางทีต้องท่องจำเหมือนสูตรคูณ
แต่ถ้าเราคล่องแล้วมันก็จะง่ายซึ่งเราก็จะรู้อัตโนมัติว่าโครงสร้างนี้ คือ Tense อะไร
เพราะเวลาแปล จะได้แปลถูก และสามารถรู้เรื่องได้ Tense คือหัวใจของภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นโครงสร้างของภาษา Tense คือ รูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา
ที่แสดงให้เราทราบว่า
การกระทำหรือเหตุการณ์ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง
tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา
ไม่ได้
เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก
ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ เป็น รูปประโยค 12 Tenses แบ่งตามเวลาเกิดเป็น 3 กาล ได้แก่ อดีต (Past), ปัจจุบัน (Present), อนาคต (Future) แต่ละกาลประกอบด้วยรูปแบบตามลักษณะการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ เป็น 4
รูปแบบ ได้แก่ เกิดเป็นปกติ (Simple), กำลังเกิดขึ้น (Continuous), เกิดเสร็จแล้ว (Perfect), เกิดมาแล้วและยังเกิดต่อไป (Perfect Continuous)
Present simple tense หมายถึง
การกระทำหรือเหตุการณ์ที่กระทำอยู่เป็นปัจจุบันใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เป็นนิสัย (habit)
เป็นข้อเท็จจริง (Facts) หรือเป็นประเพณี (Customs) เป็นต้น แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ
สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้ Subject + verb1 Subject
Subject คือ ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันไปเช่น เป็นคำนาม (noun)
เป็นคำสรรพนาม
(pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ โดยประธานจะมี 2 ชนิดคือ ประธานเอกพจน์ และประธานพหูพจน์
Verb คือ
กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแท้จะมี 3
ช่อง เช่น ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3
speak spoke spoken , write wrote write
Present Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่
1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน
โดยมีข้อระวังอยู่นิดเดียวคือ
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1
ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์
กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย เช่น
Ann works in the office.
Sona goes to school every day.
We go to Chiangmai every Sunday
หลักการใช้ Present Simple Tense
1)
ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ
หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ
คือ My watch keeps good time. นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย
(เดินเป็นปกติวิสัย) เช่น
In summer John usually plays tennis
once or twice a week. ในช่วงหน้าร้อนจอห์นมักจะเล่นเทนนิส หนึ่งหรือ
สองครั้งต่อสัปดาห์เสมอ
Ann doesn’t drink tea very often. แอนไม่ได้ดื่มน้ำชาบ่อยนัก
2)
ใช้ present simple tense กับสิ่งที่เป็นจริงตลอดกาล
หรือความจริงที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
The sun rises in the east. พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
Honey is sweet. น้ำผึ้งมีรสหวาน
The earth moves round the sun. โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
3)
ใช้ present simple tense กับแผนการ
หรือตารางเวลาที่วางไว้ล่วงหน้าซึ่งสิ่งที่วาง
แผนการไว้นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น The concert this afternoon starts at 13.15.คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา13.15น.
The concert this afternoon starts
at 13.15. คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
We go to New
York next week. พวกเราจะไปกรุงนิวยอร์คสัปดาห์หน้า
I sail for America next Saturday. ผมจะแล่นเรือใบสู่อเมริกาในวันเสาร์หน้านี้
4)
ใช้ present simple tense คู่กับ future simple tense ในประโยคเงื่อนไขที่มี
คำเชื่อมที่ แสดงเวลาเป็นอนาคตนำหน้า present simple
tense และคำแสดงเวลาในประโยคเงื่อนไขที่กล่าวถึงนี้
คือ When เมื่อ as soon as เมื่อ Before ก่อน if ถ้า unless ถ้า...ไม่ whenever เมื่อไหร่ก็ตาม until จนกระทั่งtill จนกระทั่ง
หมายเหตุ: ใช้ present simple
tense กับ If Clause (หรือ unless) ที่เป็นประโยคเงื่อนไขชนิดที่
1 เท่านั้น
โครงสร้าง : If + present
simple, + ประโยคหลักมี will, shall…เช่น We shall start our journey when our advisor
arrives. พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษามาถึง
หมายเหตุ:
ถ้าประโยคเงื่อนไขนั้นมีโครงสร้างใกล้เคียงกัน มาก tense ของทั้ง 2 ประโยค จะอยู่ในรูปที่เสมอกัน
5)
ใช้ present simple tense เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ
ในบทละครหรือในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ได้อ่าน ได้เห็นหรือได้ฟัง และใช้
present simple tense กับกริยา say เป็นการอธิบายเนื้อหาของหนังสือ ที่ได้อ่านมา เช่น
In the film he plays the central character of
Charles Smithson.ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
Keats says, “A thing of beauty is
joy forever”. คีธ กล่าวว่า สิ่งที่สวยงามคือความสนุกสนานชั่วนิรันดร์
6)
ใช้ present simple tense กับกริยาที่แสดงความรู้สึก
แสดงอารมณ์ หรือสภาวะทางจิตใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว มักจะไม่นำไปใช้ใน present continuous tense (ดูเพิ่มเติมจาก
present continuous tense) กริยาจำพวกนี้มี see, hear, love, like, hate เป็นต้น เช่น
I hear you are getting
married. ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
I see there’s been trouble in
Bangkok again. ผมเข้าใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ
อีกครั้ง
I like this girl very much. ผมชอบหญิงสาวคนนี้มาก
Present Continuous Tense เป็น tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูดนั้น
present continuous tense สร้างมาจาก present tense โดยใช้ verb to be และ กริยาแท้ช่องที่ 1 เติม –ing โครงสร้าง: subject + is, am, are + V. ing
She is talking to a customer on the phone.หล่อนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับลูกค้า
( she เป็นประธานเอกพจน์จึงใช้กริยาช่วย
verb to be เป็น is และกริยาแท้ talk
เติม -ing ตามโครงสร้าง)
You are drinking too
much. คุณดื่มมากไปแล้วนะ
(ใช้ are เพราะประธานเป็น
you และกริยาแท้ drink ก็เติม -ing
ตามโครงสร้าง)
I am going to bed now. Goodnight! ผมกำลังจะเข้านอน สวัสดีนะครับ
(ประธานของประโยคคือ
I จึงใช้กริยาช่วย verb to be รูป am
ส่วนกริยาแท้ go เติม -ing ตามโครงสร้าง)
หลักการใช้ Present Continuous Tense
1)
ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดนั้นซึ่งโดยมากจะมี
คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาดังต่อไปนี้เป็นตัวบ่งชี้ Now At this moment At the moment = ขณะนี้ Now, At this moment , Right now, At present
เช่น Tell the two boys to stop shouting. We are
writing our reports at this moment.บอกเด็กชาย 2 คนนั้นให้หยุดตะโกนหน่อย
พวกเรากำลังเขียนรายงานอยู่
I am writing a letter to Jerisuda. ผมกำลังเขียนจดหมายถึงเจริสุดา (บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด)
2)
ใช้ present continuous tense แสดงเหตุการณ์
หรือการกระทำที่เกิดขึ้นชั่วคราว
โดยกิจกรรมหรือการกระทำเหล่านั้นจะไม่คงอยู่แบบถาวร เช่น My sister is living at home for the
moment. ขณะนี้น้องสาวผมอยู่บ้าน
(อีกไม่นานหล่อนอาจจะไปที่ไหนก็ได้เพียงแต่ตอนนี้อยู่บ้าน)
หมายเหตุ : present continuous tense ใช้กับเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว
ไม่ใช่เกิดแบบถาวร ส่วน present simple tense จะใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือเกิดถาวร
3)
ใช้ present continuous tense กับการเตรียมการ
การวางแผนงาน หรือการกระทำที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และต้องระบุเวลาที่การกระทำนั้นๆ
จะเกิดไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนระหว่างความหมายที่เป็นปัจจุบัน
และความหมายที่เป็นอนาคต เช่น I am meeting Peter tonight. He is
talking me to theatre. ฉันจะไปพบปีเตอร์คืนนี้ เขาจะพนฉันไปดูหนัง (นัดไว้ล่วงหน้าแล้ว)
หมายเหตุ : come และ go ใช้ใน present continuous tense โดยไม่มีคำแสดงเวลาก็ได้
4)
ใช้ present continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดในขณะที่พูดอยู่นั้น เพราะจะเป็นช่วงเวลายาวๆ เช่น
เป็นสัปดาห์ เดือน เทอม ปี เช่น She is reading a play by Shaw.
หล่อนกำลังอ่านบทละครของชอว์
(หล่อนอาจจะกำลังอ่านอยู่ในขณะที่พูดหรืออาจจะอ่านอยู่ในช่วงสัปดาห์นี้หรือ
เทอมนี้)
5)
ใช้ always ในประโยค ใช้ present continuous tense เมื่อเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆ
เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน เช่น I always meet Mr.Richard in the English Club.ผมพบคุณริชาร์ตที่ชมรมภาษาอังกฤษเสมอๆ(ใช้ present simple เพราะเป็นที่ที่ต้องพบกันประจำ)
หมายเหตุ : forever,
constantly และ continually ใช้ใน present continuous tense ได้เหมือน always และความหมายเหมือน always แต่การใช้จะมุ่งไปที่ความไม่พอใจหรือ ความรำคาญของผู้พูด เช่น My sister is forever losing her keys. น้องสาวผมลืมกุญแจเสมอๆ (เป็นคนขี้ลืมจนน่าเบื่อ)
Present
Perfect Tense คือ Tense ที่แสดงว่าได้กระทำเหตุการณ์นั้นมาแล้วตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันใช้รูปกิริยาช่องที่
3 มี verb to have เป็นกิริยาช่วย
โครงสร้าง: S + has, have + V.3…
Has: ใช้กับประธานเอกพจน์จำพวก he, she, it,
Tom เป็นต้น
Have: ใช้กับประธานพหูพจน์จำพวก we, they, you,
Tom เป็นต้น
We have been
here for three days. พวกเราอยู่ที่นี่มา 3 วันแล้ว
หลักการใช้ Present Perfect Tense
1)
ใช้ present perfect tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งโดยมากแล้วจะมีกริยาวิเศษณ์จำพวก since, for เป็นตัน เป็นตัวชี้นำอยู่ในประโยค เช่น
I have been in Bangkok since 1988. ผมอยู่กรุงเทพฯ
มาตั้งแต่ 1988(ขณะนี้ก็ยังอยู่)
Tom has been in the army for ten
years. ทอมได้เป็นทหารมา 10 ปีแล้ว (ขณะนี้ก็ยังเป็นอยู่)
2)
ใช้ present perfect tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังแสดงผลให้เห็นในปัจจุบัน
และบ่อยครั้งที่มีคำกริยาวิเศษณ์จำพวก ever, never
just, already, yetเป็นต้น อยู่ในประโยค เช่น
Tom has had a bad car accident.ทอมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ (คาดว่าตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล)
We have spoken to each other on the
phone but we have never met.พวกเราเคยคุยกันทางโทรศัพท์แต่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย (ผลคือยังไม่รู้หน้าตากัน)
3)
ใช้ present perfect tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ไม่ได้ระบุเวลาเฉพาะ
เจาะจง เช่น
I have traveled a lot in America. ผมเดินทางบ่อยมากในอเมริกา
Somchai has been to Japan. สมชัยได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
4)
ใช้ present perfect tense กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบลงไปอย่างสมบูรณ์
หรือเกือบจะสมบูรณ์ในขณะที่พูดอยู่ นั้น
โดยมีคำกริยาวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ในประโยค
คือ just เพิ่งจะyet ยังเลยrecently เมื่อเร็วๆนี้already แล้วfinally ในที่สุด He has already
finished his work. เขาทำงานเสร็จเมื่อครู่นี้
He has already finished his work. เขาทำงานเสร็จเมื่อครู่นี้
I have just fallen downstairs. ผมเพิ่งจะตกลงไปชั้นล่าง
Present
Perfect Continuous Tense คือ Tense
ที่แสดงว่าได้กระทำเหตุการณ์นั้นมาแล้วตั้งแต่อดีต
และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในลักษณะเป็นความต่อเนื่องของการกระทำ
ใช้รูปกริยาช่องที่3 มีverb to have และ verb to be เป็นกิริยาช่วย โครงสร้าง: S + has, have + been + V.ing
She has been
helping us since one o’ clock. หล่อนได้ช่วยเหลือพวกเรามาตั้งแต่เวลาบ่ายโมงจนถึงขณะนี้
หลักการใช้ Present Perfect Continuous
Tense
1)
การใช้ Present Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและยังดำเนินไปอยู่ในขณะที่พูดนั้น
เช่น
Ladda has been reading for five hours. ลัดดาอ่านหนังสือมา 5 ช.ม. แล้ว (ขณะนี้ยังอ่านอยู่)
I have been teaching English for
many years. ผมได้สอนภาษาอังกฤษมาหลายปี
(ปัจจุบันก็ยังสอนอยู่)
2)
ใช้ Present Perfect Continuous Tense เพื่อเน้นระยะเวลาของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป อีกอย่างใช้ tense นี้กับการกระทำที่เพิ่งจะจบลงเมื่อสักครู่นี้
เช่น
My boyfriend has been playing.คนรักของฉันยังคงเล่นอยู่เลย (เล่นเกมส์ หรือ เล่นอะไรสักอย่าง)
Nida is very tired. She has been
studying very hard. นิดาเหนื่อยมากเพราะเธอเพิ่งผ่านการเรียนอย่างหนักมา
3)
ใช้ Present Perfect Continuous Tense กับ how long, for… และ since … ซึ่งจะบอกว่าเหตุการณ์นั้นๆ
ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน หรือเหตุการณ์นั้นๆ เพิ่งจะจบลง เช่น How long have you been staying in Bangkok? คุณจะพักอยู่กรุเทพฯ นานเท่าไหร่ เช่น
How long have you been staying in
Bangkok? คุณจะพักอยู่กรุเทพฯ นานเท่าไหร่
เมื่อมีปัจจุบัน
ก็ต้องมีอดีต และTense ที่ใช้ในอดีต
นั่นก็คือPast Simple Tense พูดถึงเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว
คือ
เหตุการณ์ที่ผ่านเป็นอดีตไปแล้วนั่นเอง
Past simple tense คือ tense
ที่แสดงว่าการกระทำนั้นได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดไปแล้วในอดีต
ไม่มีการต่อเนื่องของการกระทำ โดยมีการกำหนดเวลาไว้ด้วย โครงสร้าง : S +V.2
หลักการใช้ Past Simple Tense
1)
ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและจบลงไปแล้วในอดีตและไม่มีอะไรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งโดยมากจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตอยู่ด้วย
yesterday เมื่อวานนี้ formerly แต่ก่อนนี้ ago แล้ว, มาแล้ว last month เดือนที่แล้วlast night คืนที่แล้วlast… (last + คำนามอื่นๆ) เช่น I finished my
report last week. ผมทำรายงานเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
2)
ใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนิสัย
เป็นประจำในอดีต โดยจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกความถี่
และกริยาวิเศษณ์บอกถึงอดีตมากำกับในประโยคด้วย เช่น I studied many hours every day.
ฉันเรียนหลายชั่วโมงทุกวัน
Past
Continuous Tense คือ tense ที่แสดงว่าเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นกำลังดำเนินอยู่ ณ
เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต โครงสร้าง: S + was, were
+ V.ing
หลักการใช้ Past Continuous Tense
1)
ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต
โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ให้ทราบด้วย เช่น Tom was watching TV at 10 o’clock yesterday. ทอมกำลังดู TV อยู่ในช่วงเวลานี้ของคืนที่แล้ว
2)
ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่กับในอดีต โดยเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ใช้ past continuous tense ส่วนเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกให้ใช้
past simple tense โดยที่ประโยคทั้ง 2 จะมีตัวเชื่อมจำพวก when, while เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์ทั้ง
2 เข้าด้วยกัน เช่น The phone rang
while I was watching television. โทรศัพท์ได้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูโทรทัศน์
3)
ใช้ past continuous tense กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินต่อเนื่องกันไปในช่วงเวลาเดียวกันในอดีตโดยจะมีคำเชื่อม while และ as อยู่ด้วย และทั้ง 2 เหตุการณ์ใช้ past
continuous tense เช่น While Tom was writing, his wife was cooking.ขณะที่ทอมกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นภรรยาของเขากำลังทำกับข้าว
Past Perfect
Tense คือ มีรูปโครงสร้างคล้ายกับ present perfect tense ต่างเฉพาะ present perfect tense ใช้ has, have เป็นกริยาช่วย ส่วน past perfect tense ใช้ had เป็นกริยาช่วยและการใช้ก็ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต และเหตุการณ์ที่พูดถึงนั้นจบสมบูรณ์แล้ว โครงสร้าง:
S + had +V.3…
หลักการใช้ Past Perfect Tense
1) ใช้ Past Perfect
Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนเหตุการณ์ที่เป็น
past simple หมายความว่า เมื่อเราได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอดีตจบลงแล้ว
(เหตุการณ์นี้ใช้ past simple) และถ้าอยากจะพูดถึงเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนอดีตที่เพิ่งจะพูดจบลงไปเมื่อครู่นี้
ให้ใช้ past perfect tense อีกอย่างคำจำกัดความข้อนี้หมายถึง การใช้ past perfect กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงไปแล้วในอดีต ให้ใช้ past perfect ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและจบภายหลัง
ซึ่งก็เป็นอดีตเหมือนกันให้ใช้ past simple โดยมากแล้วจะมีตัวเชื่อม จำพวก when, before, after เชื่อมในประโยค
เช่นAfter I had written the letter, Sudarat came
in.
การสร้าง Past Perfect Tense รูปอื่นๆ
1) Past Perfect
Tense ทำเป็นประโยคปฏิเสธได้โดยการเติม not ที่ had ( เหมือน Present Perfect Tense)
2) Past Perfect
Tense ทำเป็นประโยคคำถามโดยการนำ had มาวางไว้หน้าประธาน (เหมือน Present Tense)
3) การตอบคำถามของ Past Perfect Tense ทำเหมือนกับ Present Perfect Tense
Past Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายๆ กับ Present Perfect Tense เช่นเดียวกับที่ Present Perfect Continuous Tense ใช้คล้ายกับ Present Perfect Tense โดย Past Perfect Continuous Tense จะเน้นถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต โครงสร้าง: S + had + been +V.ing
หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense
1)
ใช้ Past Perfect Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลาอดีตที่กำลังพูดถึงกันอยู่ (เหมือน Past Perfect Tense) และดำเนินต่อเนื่องกันมาถึงช่วงเวลาหนึ่งจึงจบลง
ซึ่งจะใช้ Past Perfect หรือ Past Perfect Continuous ก็ได้โดยจะใช้ Past Perfect Continuous ก็ต่อเมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ที่เกิดก่อนในอดีต
ว่าได้เกิดต่อเนื่องกันมามิได้หยุด
ก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นอดีตเช่นกันได้เกิดขึ้นในภายหลัง
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ใช้ Past Simple
Tense เช่น
It is now eight p.m. I was very tired because
I had been working since morning.ขณะนี้ 2
ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากเพราะผมได้ทำงานติดต่อกันตลอดวัน
ตั้งแต่เช้าตรู่ทีเดียว (ทำงานก่อนเป็น had been
working และรู้สึกเหนื่อยตอนเลิกแล้วจึงใช้รูป past simple tense)
2)
Past Perfect ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้ง สามารถใช้ Past Perfect Continuous Tense แทนได้ เช่น
I had tried ten times to get her on the phone.
(past perfect)ผมได้พยายามถึง 10
ครั้งเพื่อพูดโทรศัพท์กับหล่อนI had been trying to get her on the
phone. (past perfect continuous)
หมายเหตุ: กริยาที่ไม่ใช้รูป continuous (ยกเว้น want และ wish) จะไม่นำมาใช้ใน past perfect continuous เพราะ past perfect continuous อยู่ในรูป -ing เหมือน continuous ตัวอื่น
เมื่อมีอดีตก็ต้องมีอนาคต นั่นก็คือ Future ซึ่งแสดงถึงอนาคตกาล คือ
ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น คำว่า Future (อนาคต) ก็คือ สิ่งที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า
ด้วยความไม่แน่นอน
Future Simple Tense คือ Tense
ที่แสดงว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็น Tenseที่มีการใช้งานมาก เทียบกับภาษาไทยตรงกับคำว่า “จะ”โครงสร้าง: S + will / shall + v.1 ซึ่งwill / shall ใช้เป็นกริยาช่วยเสมอ (เป็น modal
auxiliary verb) กริยาแท้ที่ตามหลัง will shall จะเป็นกริยาช่องที่ 1
เสมอไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม
หลักการใช้ Future Simple Tense
1)
ใช้ Future Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดในอนาคตโดยทั่วไป
ที่ผู้พูดคิดหรือหวังว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต
ซึ่งโดยมากแล้วจะมีคำ adverbs ดังต่อไปนี้อยู่ในประโยคด้วยเช่น tomorrow พรุ่งนี้, next week สัปดาห์หน้า , next month เดือนหน้า, tonight คืนนี้, later ในภายหลัง, the day after tomorrow มะรืนนี้ , soon เร็ว ๆ นี้ เช่น Sakul will be
back in Thailand next week. สกุลจะกลับประเทศไทยในสัปดาห์หน้า
หมายเหตุ: 1) ใช้ future tense กับการทำนายโดยใช้ได้ทั้งรูป will, shall และ be going to แต่ถ้าใช้ future tense ในรูป if clause (เป็นการทำนายเช่นกัน) จะใช้ได้เฉพาะรูป will, shall ห้ามใช้รูป be + going to
2) การคาดการณ์อาจจะมีคำว่า probably, sure, think, wonder เป็นต้น อยู่ในประโยคซึ่งความหมายของคำเหล่านี้จะเป็นการคาดการณ์
3) ใช้ future simple tense กับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน
หรือเป็นสิ่งที่วางแผนไว้แล้วว่าจะทำโดยใช้ future ในรูป be + going to + V.1 ไม่นิยมใช้ will, shall เช่น We are going
to see a movie tonight.พวกเราจะไปดูหนังในคืนวันนี้ (ชวนกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปดู)
4) ใช้ future simple tense กับการตัดสินใจ
(decisions) การข่มขู่ (threats) การให้สัญญา (promises) การเสนอและการขอร้อง (offers and
requests) ดังนี้
4.1 future simple tense ที่ใช้กับการตัดสินใจ
โดยปกติแล้วจะใช้ will เป็นตัวกำหนด (shall ไม่ค่อยถูกนำมาใช้ในรูป future ที่ใช้ในการตัดสินใจยกเว้นใช้ในประโยคคำถาม)
เช่น phone is
ringing. I will answer it. โทรศัพท์กำลังดัง / ผมจะรับโทรศัพท์
4.2 ใช้ future simple tense กับการเสนอและขอร้อง
(offers and requests)
Will you give
me that camera? ช่วยเอากล้องตัวนั้นให้ผมได้ไหม
(จะให้หรือไม่ให้ต้องตัดสินใจ)
5) ใช้ future simple tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดเป็นปกติหรือ
จะเกิดเป็นประจำในอนาคต เช่น
Summer will
come again. ฤดูร้อนจะมาเยือนอีกครั้งแล้ว (ฤดูร้อนจะเวียนมาทุกปีแน่นอน)
Future Continuous
Tense คือ tense ที่แสดงความสมบูรณ์ของเหตุการณ์ในอนาคตโครงสร้าง: S + will / shall + be + V.ing
หลักการใช้ Future Continuous Tens
1) ใช้ future continuous tense เพื่อบอกว่าการกระทำอย่างหนึ่งจะเกิดและดำเนินต่อเนื่องไปในเวลาเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งในอนาคต
ซึ่งมักจะมีเวลาระบุไว้ในประโยค เช่น At 8 o’clock this morning I will be writing my third book.เวลา 8
โมงเช้าที่จะถึงนี้ ผมคงจะกำลังเขียนหนังสือเล่มที่ 3 อยู่ (ตอนที่พูดอยู่นี้ยังไม่ถึง 8 โมง)
2) ใช้ future continuous tense กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นเพราะมีการนัดหมายไว้แล้ว
หรือสิ่งนั้นๆ ได้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่นI will be staying here till Sunday.
ผมจะพักอยู่ที่นี้จนถึงวันอาทิตย์หน้า
3) ใช้ future continuous tense เป็นวิธีการถามที่สุภาพ
เกี่ยวกับแผนงานของคนอื่น ที่ใช้ future
continuous tense ถามก็เพื่อบอกถึงสิ่งที่ผู้พูดได้ตัดสินใจแล้ว
แต่ไม่ต้องการให้คำถามนั้น กดดันหรือมีอิทธิพลต่อผู้ถูกถาม เช่นWill you be joining us tomorrow?
พรุ่งนี้คุณจะมาร่วมสังสรรค์กับพวกเราไหม
Future Perfect Tense คือ tense ที่แสดงว่าเมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
การกระทำหรือเหตุการณ์หนึ่งจะสิ้นสุดหรือจบลง โครงสร้าง: S + will / shall + have + V.3
หลักการใช้ Future Perfect Tense
1)
ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสำเร็จบริบูรณ์ในอนาคต
ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ โดยมากจะมี By + เวลา เป็นที่ให้สังเกต หรืออาจจะมีช่วงเวลาที่แน่นอน
ให้เป็นที่สังเกตในประโยค เช่น The bus will arrive Bangkok by 8 o’clock tonight. รถประจำทางจะมาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 8 โมงเย็นนี้
2)
ใช้ future perfect tense กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่จะเกิดไม่พร้อมกันในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนให้ใช้ future perfect (s +will / shall + have + V.3) ส่วนเหตุการณ์ที่จะเกิดทีหลังใช้ present simple
(s + V.1) เช่นI shall have
finished my report when the bell rings. ผมจะทำรายงานเสร็จเมื่อระฆังดัง
Future perfect continuous tense คือ tense ที่แสดงความสมบูรณ์ของเหตุการณ์ในอนาคต
โครงสร้าง: S + will / shall + have + been + V.ing
หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense
1)
ใช้ future perfect continuous tense กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดและดำเนินต่อเนื่องกันไปในอนาคต
(ใช้คล้ายกับ future perfect tense แต่เน้นที่ความต่อเนื่องกัน)เช่น
By next March
I will have been teaching in this university for three years. ในเดือนมีนาคมหน้าผมจะสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ครบ 3 ปีพอนี้
My son will
have been sleeping for 4 hours by the
time I get home. ลูกชายของผมจะนอนครบ 4 ชม.
ในเวลาที่ผมกลับถึงบ้าน
โครงสร้างของ past tense นั้น past simple
tense มีบทบาทค่อนข้างสูงเพราะง่ายต่อการนำมาใช้
และมีโครงสร้างคล้ายกับ present simple tense การใช้ก็ไม่ต่างกันมากเพียงแต่ past simple
tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นอดีต ส่วน present simple tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน
ส่วนกริยาที่ใช้ก็จะ ต่างกันนิดหน่อย โดยกริยาของ present simple
tense จะเป็นช่องที่ 1 (V.1) ส่วนกริยาของ past simple tense จะเป็นช่องที่
2 (V.2)
และคำกริยาวิเศษณ์ของ past simple tense ก็จะต่างจาก present simple tense ด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น